วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559


สมาชิกในกลุ่ม


ชื่อ นางสาว ติมาพร ป้องขันธ์ ม.5/4 เลขที่11
อีเมล timaporn.tt11@gmail.com


ชื่อ นางสาวอาทิยา พรมแสน ชั้นม.5/4 เลขที่12
อีเมล arthiyajom123@gmail.com
เว็บบล็อก http://jomarthiya.blogspot.com/2016/11/11-2543-11.html





ชื่อนางสาว เกษรา เหลาลา ม.5/4 เลขที่22
อีเมล kesrahelala@gmail.com
เว็บบล็อก https://kesra1234.blogspot.com/b/post-preview…








ชื่อนางสาว สุภาภรณ์ พานนนท์ ม.5/4 เลขที่ 33
อีเมล supaporfern743@gmail.com  

เว็บบล็อก







วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559


วีดีโอ

















นางสาว อาทิยา  พรมแสน


 

บทที่5 สรูปผลการดำเนินงาน/ข้อเสนอแนะ


      สรุปผลการศึกษา

     จากการศึกษาค้นคว้าการทำพรมเช็ดเท้าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่วางแผนไว้คือ

เพื่อทำพรมเช็ดเท้าที่เกิดจากการเรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น   และเพื่อศึกษาถึงทำพรมเช็ดเท้าจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย

ประโยชน์ที่ได้จากโครงงาน

              จากการศึกษาสามารถศึกษาความเป็นมาและประวิติของพรมเช็ดเท้าอย่างถูกต้อง   เนื่องจากข้อมูลในหนังสือในห้องสมุดและการสอบถามประชาชมชนที่ทราบประวิติความเป็นมาและวิชีการทำพรมเช็ดเท้าจากเศษวัสดุเหลือใช้


     ข้อเสนอแนะ  

       ในการทำพรมเช็ดเท้าสิ่งของควรเลือกใช้อะไรง่ายๆ  ไม่ควรเลือกทำสิ่งของที่ยากๆ เพราะอาจทำให้ เราลำบากได้ ควรเลือกเพื่อนอยู่ในกลุ่มบ้านต้องใกล้กันเพราะจะได้ไมลำบากในการปรึกษาทำโครงงาน


                                                                                                                                     น.ส. อาทิยา พรมแสน

บทที่4 ผลการศึกษา


       เนื่องจากปัจจุบันประสบปัญหาภาวะโลกร้อนที่มีสาเหตุมาจากขยะที่มีมากเกินไป แต่เราพบว่าขยะบาง  ชนิดสามารถนำมารีไซเคิลใหม่ได้ เช่น เศษผ้า ซึ่งหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มได้นำความคิดนี้มาจากโรงงานเย็บผ้าในบริเวณชุมชน หลังจากที่เราได้ระดมความคิดกัน สมาชิกในกลุ่มก็ได้ช่วยกันทำพรมเช็ดเท้าจากเศษผ้า เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในชุมชนและสามารถเป็นรายได้ให้แก่ครอบครัว

ตารางที่ 2ผลการดำเนินงาน
สัปดาห์/วันที่
รายการที่ดำเนินการ
4 มิ.2559
ซื้ออุปกรณ์
6 มิ.2559
เตรียมอุปกรณ์
13 มิ.2559
มอบหมายงาน ของแต่ละคนในกลุ่ม ในการตัดผ้า
20 มิ.2559
ลงมือทำพรมเช็ดเท้า
27 มิ.2559
ส่งผลงาน


 

บทที่3 อุปกรณ์และวิธีการดำเนินการ


จากการศึกษาการทำพรมเช็ดเท้า จากน้าวิทยากร คุณน้า ปาริฉัตร สุวรรณคำ ได้ความรู้เกี่ยวกับกับการทำพรมเช็ดเท้ากลุ่มข้าพเจ้ามีขั้นตอนการศึกษาดังนี้
   ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน

1.             แบ่งกิจกรรมตามหน้าที่ 
2.             สืบค้นหาข้อมูล
3.             รวบรวมข้อมูล
4.             จัดทำเป็นรูปเล่มที่สวยงามนำเสนอ

วัสดุอุปกรณ์

     1.  เศษผ้า
                   2.  กรรไกร/กรรไกรตัดด้าย
              3.  เครื่องทอพรมเช็ดเท้า
                   4.  เข็มสอยด้าย

3.2 ขั้นตอนการทำพรมเช็ดเท้า

3.2.1 ตัดเส้นผ้าให้เป็นเส้น
3.2.2 นำเศษผ้าที่ตัดมาทอให้เป็นผืน
3.2.3 นำบล็อกยางมากั้นแต่ล่ะผืน
3.2.4 นำกรรไกรมาตัดด้ายระหว่างผ้าแต่ล่ะพื้น
3.2.5 มัดเส้นด้ายที่เราตัด เพื่อไม่ให้ผ้าหลุด
3.2.6 ซ้อนเส้นด้าย และตัดด้ายที่ซ้อนเพื่อความสวยงาม
3.2.7 ตัดด้ายที่ซ้อนเพื่อความสวยงาม
3.2.8 ตัดตกแต่งขอบให้สวยงาม
3.2.9 พร้อมขายตามตลาดและชุมชน
 น.ส. อาทิยา  พรมแสน
ที่มา: https://www.dotproperty.co.th/blog/

บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง


  ในการจัดทำการศึกษาค้นคว้าพรมเช็ดเท้า พัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา  การทำพรมเช็ดเท้า
ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำพรมเช็ดเท้า คณะผู้จัดทำ ได้ศึกษาข้อ มูลเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้
2.1พรมเช็ดเท้า
             2.2 เว็บไซต์ (Website)
              2.3 โปรแกรม Adobe  Dreamweaver

2.1 พรมเช็ดเท้า
 ทอพรมเช็ดเท้า เพื่อจัดตั้งกลุ่มตัดเย็บผ้า ซึ่งยึดเป็นอาชีพเสริมจากการทำอาชีพหลักคือ เกษตรกรรมและต่อมาได้มีโอกาสไปดูงานกลุ่มทอพรมเช็ดเท้า ประกอบกับได้ดูทางทีวีในเรื่องของการทอพรมเช็ดเท้าจึงได้คิดริเริ่มทอพรมเช็ดเท้า ปัจจุบันมีการนำวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นสิ่งของสำหรับใช้สอยในชีวิตประจำวันมากมาย เช่น พรมเช็ดเท้าจากเศษผ้าของใช้ที่ทุกๆครัวเรือนจะต้องมี ทุกวันนี้พรมเช็ดเท้ามีลวดลายและรูปแบบต่างๆมากมายให้เราเลือกใช้ แถมวิธีก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดอีกทั้งยังสามารถนำไปประกอบอาชีพอิสระได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่กำลังมองหาลู่ทาง ประกอบอาชีพอิสระ ที่สามารถทำอยู่บ้านได้ และมีเวลาดูแลบ้าน ดูแลครอบครัว การทำพรมเช็ดเท้าขายนับว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ ลงทุนน้อยทำง่าย สร้างรายได้เป๋นกอบเป็นกำอีกด้วย
เศษผ้า ที่เรานำมาเป็นเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วจากโรงงานมาประดิษฐ์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อผ้า และนำมาทำเป็นพรมเช็ดเท้าลวดลายต่างๆได้แบบสวยงาม 

กรรไกร (อังกฤษ: scissors) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตัดวัสดุบาง ๆ โดยใช้แรงกดเล็กน้อย โดยใช้ตัดวัสดุเช่น กระดาษ กระดาษแข็งแผ่นโลหะบาง พลาสติกบาง อาหารบางอย่าง ผ้า เชือก และสายไฟ เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้เพื่อตัดผมก็ได้ ส่วนกรรไกรขนาดใหญ่อาจใช้ตัดใบไม้และกิ่งไม้ ซึ่งมีความแข็งแรงเป็นพิเศษกรรไกรนั้นต่างจากมีด เพราะมีใบมีด 2 อัน ประกบกันโดยมีจุดหมุนร่วมกัน กรรไกรส่วนใหญ่จะไม่มีความคมมากนัก แต่อาศัยแรงฉีกระหว่างใบมีดสองด้าน กรรไกรของเด็กนั้นจะมีความคมน้อยมาก และมักมีพลาสติกหุ้มเอาไว้ในภาษาไทย เรียก “กรรไกร”, “กรรไตร” หรือ “ตะไกร” ส่วนในภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปเรียกว่า “scissors”แต่ในอุตสาหกรรม เรียกกรรไกรที่มีความยาวมากกว่า 15 เซนติเมรว่า “shears”แต่ที่นิยมเรียกในประเทศไทยคือ กรรไกร ในทางกลศาสตร์ ถือว่ากรรไกรเป็นคานคู่ชั้น 1 (First-Class Lever) ซึ่งมีหมุดกลางทำหน้าที่เป็นจุดหมุน ส่วนการตัดวัสดุหนาหรือแข็งนั้น จะให้วัสดุอยู่ใกล้จุดหมุน เพื่อเพิ่มแรงกดให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่นหากแรงที่ใช้ (นั่นคือ มือ) ห่างจากจุดหมุนเป็นสองเท่าของตำแหน่งที่ตัด

เครื่องทอพรมเช็ดเท้า ได้ไปเห็นกี่ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นเอง เพื่อทอพรมเช็ดเท้าขึ้นใช้เองแล้วรู้สึกถึงในความสามารถของสมาชิกกลุ่มที่นี้เป็นอย่างมาก และเครื่องทอพรมเช็ดเท้าได้มีการสร้างขึ้นมาเอง และสามารถจำหน่ายได้ด้วย
ด้าย  เส้นยืน หรือ ด้ายยืน (ในการทอผ้า) หมายถึง เส้นด้ายชุดหนึ่ง ที่เรียงอยู่ในแนวขวาง โดยจะมีเส้นพุ่งคอยขัดสลับให้กลายเป็นผืนผ้า ในการทอผ้า ช่างทอจะต้องเตรียมเส้นด้ายยืนเอาไว้ก่อนเสมอ โดยอาจมีความยาวหลายสิบเมตร การเตรียมด้ายยืนเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และใช้เวลามากด้ายเส้นยืนมีความสำคัญในการทอผ้าไม่น้อยไปกว่าด้ายเส้นพุ่ง เมื่อเตรียมแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนเส้นด้ายยืน จนกว่าจะทอไปตลอดปืน เส้นยืนโดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กกว่าเส้นพุ่ง มักจะใช้ด้ายที่มีคุณภาพสูง มีความทนทาน และเรียบ ไม่ขรุขระการทอผ้าโดยทั่วไปจะใช้เส้นยืนสีเดียว หากเส้นยืนสีเข้ม ก็จะทำให้เนื้อผ้ามีสีเข้ม หากเส้นยืนมีสีอ่อน ก็จะทำให้ผ้ามีสีอ่อน แต่การทอผ้าบางชนิด เช่น ผ้าขาวม้า หรือ ผ้าอันปรมเส้นยืนจะมีหลายสี ตามความต้องการของช่างทอ กรณีที่ทอผ้ามุก ช่างทอจะต้องเตรียมเส้นยืนสองชุด ชุดหนึ่งเป็นเส้นยืนปกติ หรือเส้นยืนหลัก อีกชุดหนึ่งเป็นเส้นยืนพิเศษ (มีจำนวนน้อยกว่าเส้นยืนหลัก) ยกลอยเหนือเส้นยืนหลัก เพื่อสร้างลวดลายเสริมให้กับผืนผ้าในแนวตั้ง
 2.2  เว็บไซต์ ( Website )
เว็บไซต์ (อังกฤษ: Website, Web site หรือ Site) หมายถึง หน้าเว็บเพจหลายหน้า ซึ่งเชื่อมโยง กันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ส่วนใหญ่จัดทำ ขึ้นเพื่อนำ เสนอข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ใน เวิลด์ไวด์เว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์ที่เก็บไว้ที่ชื่อหลักจะเรียกว่า โฮมเพจ เว็บไซต์โดยทั่วไปจะ ให้บริการต่อผู้ใช้ฟรีแต่ในขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จำเป็นต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการ เพื่อที่จะดูข้อมูล ในเว็บไซต์ ซึ่งได้แก่ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์หรือข้อมูลสื่อต่างๆ ผู้ทำ เว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึงระดับเว็บไซต์สำหรับธุรกิจหรือ องค์กรต่างๆ การเรียกดูเว็บไซต์โดยทั่วไปนิยมเรียกดูผ่านซอฟต์แวร์ในลักษณะของ เว็บเบราว์เซอร์

          หลักในการออกแบบเว็บไซต์
ขั้นตอนที่ 1 กำหนดโครงสร้างของเว็บไซต์ การสร้างเว็บไซต์นั้นควรเริ่มจากการสร้างแผนผังของเว็บไซต์ก่อน หรือที่เรียกว่า  Site Map
                ขั้นตอนที่ 2 กำหนดการเชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ
   กำหนดการเชื่อมโยงให้เว็บเพจแต่ละหน้าเชื่อมโยงถึงกันเพื่อให้กลับไปกลับมา ระหว่างหน้าต่าง ๆ ได้    โดยแสดงชื่อไฟล์  HTML  แต่ละไฟล์ที่มีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน  
ขั้นตอนที่ 3 การออกแบบเว็บเพจแต่ละหน้า
                สามารถออกแบบหน้าเว็บเพจแต่ละหน้าให้สวยงาม โดยเฉพาะในเว็บเพจหน้าแรก ซึ่งเรียกว่า โฮมเพจนักเรียนควรออกแบบให้สวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมในขั้นตอนการออกแบบ นี้ บางทีอาจเรียกว่าการออกแบบเลย์เอาท์ (Lay Out) สามารถทำ ได้โดยการเขียนลงในกระดาษ หรือใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบก็ได้ 
                ขั้นตอนที่ 4 การสร้างเว็บเพจแต่ละหน้า
                นำเว็บเพจที่ออกแบบไวม้าสร้างโดยใช้ภาษา html หรืออาจใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น FrontPage, Macromedia  Dreamweaverหรือโปรแกรมสำเร็จรูปอื่น ๆ ตามความถนัด
ขั้นตอนที่ 5 การลงทะเบียนขอพื้นที่เว็บไซต์ 
                การเผยแพร่เว็บไซต์ที่สร้างเสร็จแล้ว เข้าสู่ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บุคคลอื่นๆ  สามารถเข้าชมเว็บไซต์ของเราได้ วิธีการ คือ นำเว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้นไปไว้บนพื้นที่ที่ให้บริการ (Web Hosting) ซึ่งมีพื้นที่ ที่ให้บริการฟรี และแบบที่ต้องเสียค่าบริการ
ขั้นตอนที่ 6 การอัพโหลดเว็บไซต์
                หลังจากสร้างเว็บไซต์และลงทะเบียนขอพื้นที่สำหรับฝากเว็บไซต์แล้ว   ให้ใช้โปรแกรม สำหรับอับโหลด (Upload)  เช่นโปรแกรม  CuteFTPเพื่อให้คนทั่วโลกสามารถเข้าชมเว็บไซต์ของเรา ผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
หลักในการสร้างเว็บเพจ
1. การวางแผน
                กำหนดเนื้อหา ก่อนลงทำเว็บ เราจะต้องรู้ว่าเราจะทำเว็บเกี่ยวกับอะไร เนื้อหาเป็นอย่างไร กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มใด ทั้งนี้เพื่อที่เราจะไดนำเนื้อหา เหล่านั้นมาใส่ในเว็บเพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อหา โดยรวมเกี่ยวกับอะไร   เช่น  เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก็ต้องมีข้อมูลของคอมพิวเตอร์แต่ละชนิด ลักษณะ ราคาแต่ละรุ่นและสถานที่ขาย เป็นต้น
    
                2. การเตรียมการ
                 เช่น การเตรียมการด้านข้อมูลทั้งที่เป็นเนื้อหา ภาพ เสียง หรือสิ่งจำเป็นต่างๆ ที่นักเรียนคิดว่า ต้องการจะนำเสนอในการทำเว็บเพจนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าเราจะทำเว็บเกี่ยวกับอะไร การรวบรวมข้อมูลก็ มีส่วนสำคัญย่างยิ่ง เช่น ถ้าจะทำเว็บ เกี่ยวกับ โรงเรียน ก็ต้องไปหาคติพจน์ประจำ โรงเรียน สีประจำโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียน ประวัติโรงเรียน ฯลฯ มารวบรวมไว้  แล้วหลังจากนั้นก็เอาข้อมูลนั้นมา จัดรูปแบบในเว็บต่อไป การหาเครื่องมือในการจัดทำ นั้น ก็เป็นเรื่องสำคัญเครื่องมือในที่นี้ 
 3. การจัดทำ  
               เมื่อวางแผนและเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาจัดทา   อาจจะทำคนเดียว หรือทำ เป็นกลุ่ม โดยใช้เครื่องมือที่เตรียมไว้ซึ่งจะอธิบายถึง วิธีการจัดทา หรือวิธีการสร้างเว็บเพจในลำดับต่อไป
                4. การทดสอบและการแก้ไข
               การสร้างเว็บเพจทุกครั้งควรจะมีการทดสอบก่อนเผยแพร่ทุกครั้งเพื่อหาข้อบกพร่องแล้วนำมา แก้ไขการทำเว็บนั้นเมื่อทำเสร็จและอับโหลดไปไว้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์แล้วให้ทดลองแนะนำ เพื่อนที่ สนิทชิดเชื้อและใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ ลองเปิดดูและให้บอกข้อผิดพลาดมา เช่น การเชื่อมโยงต่าง ๆ , รูปภาพ และตัวอักษร ว่าถูกต้องช้าไป หรือเปล่า หากทดสอบจากเครื่องของตนเองแล้ว ข้อผิดพลาด ต่างๆ มักจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็นเนื่องจากว่าข้อมูลต่างๆ  จะอยู่ในเครื่องของตนเองและการเชื่อมโยง ต่างๆ
5. การนำเว็บเพจต่าง ๆ มารวบรวมเป็นเว็บไซต์        เมื่อสร้างเว็บเพจเสร็จ จัดรวบรวม และเรียบเรียงหน้าเว็บเพจแต่ละหน้าทำ การทดสอบ แก้ไข ปรับปรุงเสร็จแล้ว ก็สามารถเผยแพร่เว็บเพจทั้งหมดออกสู่สาธารณชนในรูปแบบของเว็บไซต์ได้ 

2.3 โปรแกรม Adobe Dreamweaver 
   รู้จักกับ Dreamweaver
                Dreamweaver ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างเว็บเพจ และ ดูแลเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพ สูง เป็นที่นิยมใช้ของ  Web Master อย่างกว้างขวาง  ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับเขียนภาษา HTML โดยเฉพาะ พร้อมทั้งสามารถแทรก Java Scripts และ ลูกเล่นต่างๆได้มากมาย  โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้หลัก ภาษา HTML มากนัก ซึ่งช่วยประหยัดเวลา และทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น

ประวัติความเป็นมาของโปรแกรม Dreamweaver
อะโดบี ดรีมวีฟเวอร์ (Adobe Dreamweaver) หรือชื่อเดิมคือ แมโครมีเดียดรีมวีฟเวอร์ (Macromedia Dreamweaver) เป็นโปรแกรมแก้ไข HTML พัฒนาโดยบริษัทแมโครมีเดีย (ปัจจุบันควบ กิจการรวมกับบริษัท อะโดบีซิสเต็มส์) สำหรับการออกแบบเว็บไซต์ในรูปแบบ WYSIWYG กับการ ควบคุมของส่วนแก้ไขรหัส HTML ในการพัฒนาโปรแกรมที่มีการรวมทั้งสองแบบเข้าด้วยกันแบบนี้ ทำให้ ดรีมวีฟเวอร์เป็นโปรแกรมที่แตกต่างจากโปรแกรมอื่นๆ 

การทำงานกับภาษาต่างๆ
ดรีมวีฟเวอร์ สามารถทำงานกับภาษาคอมพิวเตอร์ในการเขียนเว็บไซต์แบบไดนามิค ซึ่งมีการ ใช้HTML เป็นตัวแสดงผลของเอกสาร เช่น ASP, ASP.NET, PHP, JSP และ ColdFusion รวมถึงการ จัดการฐานข้อมูลต่างๆ อีกด้วย และในเวอร์ชันล่าสุด (เวอร์ชัน CS4) ยังสามารถทา งานร่วมกับ XML และ CSS ได้อย่างง่ายดาย
 ความสามารถของ Dreamweaver
                ในการเขียนเว็บเพจ จะมีลักษณะคล้ายกับการพิมพ์งานในโปรแกรม Text Editor ทั่วไป คือว่า มันจะเรียงชิดซ้ายบนตลอดเวลา ไม่สามารถย้าย หรือ นำไปว่างตำแหน่งที่ต้องการได้ทันที่เหมือน โปรแกรมกราฟิก เพราะฉะนั้นหากเราต้องการจัดวางรูปแบบตามที่เราต้องการ ก็ใช้ตาราง Table เข้ามา ช่วยจัดตำแหน่ง ซึ่งเมื่อมีการจัดวางรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น การเขียนภาษา HTML ก็ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่นกัน โปรแกรม Dreamweaver อาจจะไม่สามารถเขียนเว็บได้ตามที่เราต้องการทั้งหมด วิธีการแก้ไข ปัญหาที่ดีที่สุดคือ ควรจะเรียนรู้หลักการของภาษา HTML ไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพ Webmaster แบบจริงจัง อาจจะไม่ต้องถึงกับท่องจา  Tag ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด แต่ขอให้รู้ เข้าใจหลักการก็พอแล้ว เพราะหลาย ๆ ครั้งที่เราจะเขียนเว็บใน Dreamweaver แล้วกลับ ได้ผลผิดเพี้ยนไป ไม่ตรงตามที่ต้องการ ก็ต้องมาแก้ไข Code HTML เอง และความสามารถของ Dreamweaver 
     














นางสาว ติมาพร ป้องขันธ์